วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

มหาสงครามชิงพิภพ 3

มหาสงครามชิงพิภพ
ตอนที่ ๑ จุดเริ่มต้นของสงคราม
บทที่  ๓ สงครามชิงหงส์

     จอมมารแห่งโลกา

          หลังจากข่าวการเตรียมการจู่โจมของเหล่ามาร ทำให้กองทัพฝ่ายมนุษย์หลายต่อหลายกองทัพเริ่มขยับขยายกองทัพของตนเพื่อป้องกันตัวเอง และในขณะเดียวกัน ทางนพเก้านครก็เริ่มที่จะเตรียมกองทัพขนาดใหญ่ ถึงขนาดส่งสาสน์ทองคำหิมะ ซึ่งเป็นเรียกทัพเร่งด่วนที่สุดของนพเก้า ซึ่งประกอบด้วยสาสน์ ๙ ระดับ ได้แก่ ๑. สาสน์ปฐม เป็นสาสน์ที่ใช้ในการส่งข่าวปกติ ๒.สาสน์ทองแดง  เป็นสาสน์ที่ใช้งานราชพิธี ๓ สาสน์ทอง เป็นสาสน์ที่ใช้ในการเรียกการประชุมธรรมดาที่จะส่งไปยังหัวเมืองต่างๆ ๔.สาสน์เงินหิมะ เป็นสาสน์เรียกทัพระดับธรรมดาเพื่อตรวจตรากำลัง ๕.สาสน์ทองเหมันต์ เป็นสาสน์ที่ใช้ในการเรียกประชุมราชาตามเมืองขึ้น  ๖.สาสน์หิมะเหมันต์ เป็นสาสน์ที่ใช้ในการเรียกทัพเพื่อช่วยระดับปกติ ๗.สาสน์ทองคำหิมะ เป็นสาสน์เรียกทัพเพื่อช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน ๘.สาสน์ราชันย์ธุระ เป็นสาสน์เร่งด่วนที่ใช้รวมพลของเจ้าเมืองต่างๆ ในการปกครอง ๙.สาสน์อหังการ์ราชันย์ เป็นสาสน์ที่ใช้เพื่อประชุมครั้งใหญ่ ซึ่งปกติ มักใช้ในงานที่สำคัญมากๆ ซึ่งในยุคของไฟร์ ยังไม่เคยใช้สาสน์อหังการ์ราชันย์เลย ซึ่งระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา กรุงนพเก้านคร ได้รับสาสน์ตอบรับความช่วยเหลือหลายต่อหลายฉบับ โดยทำให้กองกำลังของนพเก้านั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว ไฟร์จึงมีคำสั่งให้ไรจัดการกองทัพทั้งหมดให้เสร็จก่อนที่จะมีข่าวการเคลื่อนพลของอควอโลในอีก ๒ วัน จนในที่สุดทางนพเก้านครก็ได้กองกำลังทั้งสิ้น ๙ กองพล กองพลละ ๘ กองพัน กองพันละ ๗ กองร้อย กองร้อยละ ๑๒,๐๐๐ นาย แบ่งเป็นทหารราบ ๕,๐๐๐นาย  ทหารม้า ๓,๐๐๐ นาย ทหารหอก ๒,๐๐๐ นาย ทหารข่าวสาร ๒๐๐ นาย ทหารเสบียง ๑,๒๐๐ นาย และทหารฝ่ายสืบราชการลับ ๖๐๐ นาย รวมกำลังพลทั้งสิ้น กองพันละ ๘๔,๐๐๐ นาย กองพลละ ๖๗๒,๐๐๐ รวมทั้งกองทัพทั้งสิ้น ๖,๐๔๘,๐๐๐ นาย โดยมีไรเป็นแม่ทัพอสุนีบาตไร้พ่าย มีไวร์มาร์คเป็นเป็นจอมพลบูรพาไร้พ่าย โดยไฟร์ยกตำแหน่งขึ้นไปเป็นจอมทัพปราบปฏิปักษ์ ยกตำแหน่งแม่ทัพนายกอง และราชาที่มาร่วมทัพกันคนละ ๑ ขั้น โดยให้เซียนสราญรมย์เป็นเสนาธิการบดีประจำทัพ
          และในที่สุด ก็ถึงวันที่อควอโลจะยกทัพมาจู่โจมนพเก้านคร โดยในครั้งนี้ อควอโลได้แต่งตั้งให้ไวโลเป็นแม่ทัพคุมกองกำลังทั้งสิ้น ๑ กองพล ( ประมาณ ๓,๖๐๐,๐๐๐ ตน ) มาตั้งที่หน้ากรุงนพเก้านคร โดยตั้งห่างจากกำแพงเมืองประมาณ ๒๕ เส้น ตั้งค่ายกระโจมที่พักพร้อมจัดเวรยามตรวจตราการเคลื่อนไหวในอาณาเขต ๒๐๐ เส้น ฝ่ายในนพเก้านครก็จัดหาแม่ทัพเพื่อมาเป็นผู้นำทัพ โดยในที่ประชุมซึ่งเสนอโดยเซียนสราญรมย์ ว่าให้มิร่า ซึ่งเป็นแม่ทัพระดับสามรองจาก ไร และ เร็น ซึ่งไฟร์ก็ยังไม่เข้าใจในความคิดของเซียนสราญรมย์  มิร่าจึงรับตำแหน่งแม่ทัพ นำกองทัพ ๑ กองพล ( ประมาณ ๖๗๒,๐๐๐ นาย ) เพื่อนำมาต้านกำลังของอควอโล โดยมิร่าสั่งจัดตั้งทัพห่างจากค่ายของอควอโล ๒๔ เส้น  โดยรอดูทีท่าของอควอโลก่อน ในคืนนั้น ณ ค่ายพักของอควอโล
                   “ ข้าไม่เข้าใจ ทำไมไฟร์ถึงให้แม่ทัพระดับ ๓ ซ้ำยังนำพลออกมาเพียง ๑ กองพลเขามาสู้กับเรา ทั้งๆที่เขาน่าจะรู้ว่า ไวโล เป็นแม่ทัพที่มีประสบการณ์ทางการรบอย่างช่ำชอง ” อควอโลพูด ไวโลก้มหัวให้ อควอโลก็พูดต่อ
                   “ ข้าไม่ได้พูดชมเจ้า เพียงแต่ข้าก็พูดความจริง แต่ถึงยังไงข้าก็อยากจะรู้จักเจ้ามิร่าให้มากกว่านี้ แค่ไม่เข้าใจไอ้พวกมนุษย์พวกนั้นจริงๆ ” อควอมาโดสนั่งฟังแล้วก็พูดขึ้นมาว่า
                   “ ฮ่า ถ้าเจ้าอยากรู้ข้าจะบอกให้ฟัง อควอโล ” อควอโลทำหน้างงแล้วถามว่า “ ท่านพ่อรู้จักเขาเหรอ ”
          อควอมาโดสยิ้มหัวเราะเฮอะเฮอะ แล้วตอบไปว่า
                   “ ทำไมจะไม่รู้ มิร่าน่ะ เป็นคนที่มาจากทางตอนเหนือ    บ้านของเขาอยู่ในป่าทึบ ปีนั้น เมก้าพ่อของไฟร์กำลังทำการเพิ่มดินแดน มันเป็นปีที่ข้า กำลังไปประจำการเพื่อทดสอบฝีมือ พ่อถูกเมก้าตีขนาบหน้า-หลัง เลยหลบหนีเข้าไปในที่พักของครอบครัวมิร่า ตอนนั้น มิร่ายังไม่เกิด ข้าเข้าไปหลบ พอเมก้าผ่านมา ก็เข้ามาถาม พ่อของมิร่า ออ!  เขาชื่อ โอลิว เขาบอกปฏิเสธ เมก้าไม่ได้สงสัยอะไร ก็ออกไป ข้าก็เลยเข้าไปชักชวนเขามาทำงานในสภา เขาบอกปัดปฏิเสธ แต่ก็บอกว่าถ้าลูกออกมาเป็นผู้ชาย เขาจะให้มารับงานที่เมืองเรา จนเมื่อ ๒๐ ปีก่อน พ่อก็ได้ข่าวว่าไฟร์ไปทัศนาจรแถวๆนั้น เลยขอลูกชายของโอลิวไป ซึ่งนั้นก็คือมิร่านั่นแหละ แต่โอลิวก็ยืนยันว่าจะไม่ยุ่งกับการเมือง พ่อเดินทางไปหาเขา เขาก็กล่าวบอกกับพ่อว่าเสียใจที่ไม่ได้ให้ลูกของเขามารับราชการที่เรา พ่อก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะเขาก็มีบุญคุณกับพ่อ พ่อก็เลยเลี้ยงเขา ตอนงานเลี้ยง พ่อก็สอบถามนิสัยของมิร่ากับโอลิว เขาบอกพ่อว่า มิร่าเป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ด้านอักษร แม้จะไม่ได้เรียนแต่ก็สามารถท่องคัมภีร์ปราชญ์สวรรค์ได้จนจบเล่มเลยที่เดียว มิร่าน่ะเป็นคนขยันเรียน เป็นลูกพักลักจำ ออกมาในบริเวณสถานที่ศึกษาของโอรสกษัตริย์บริเวณนั้นบ่อยๆ วันๆไม่ทำอะไร อ่านตำรา ท่องตำรา เห็นว่าเคยจัดฝูงของวัวกระทิงให้เข้าถล่มฝูงราชสีห์ที่รบกวนเขาได้ทีเดียว นับว่าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง ลูกไม่ควรประมาทเขานะ ”
          อควอโลกับไวโล และแม่ทัพนายกองต่างฟังกันอย่างตลึง อควอโลมองหน้าไวโล ไวโลเลยถามอควอมาโดสไปว่า
                   “ แล้วท่านผู้นำมีความเห็นอย่างไรกับการนำศึกครั้งนี้ของข้ากระหม่อม ขอคำแนะนำด้วยเถิด ”
                   “ ฮะ ข้านะก็อยากจะบอกให้เจ้ารู้เอาไว้แค่นั้นเอง ว่ามิร่านะ เป็นเด็กที่เกิดในชนบท ย่อมมีเมตตาเป็นธรรมดา ข้าจึงอยากให้เจ้า แสร้งทำเป็นเสียที่เขา ข้าว่าเขาจะไม่ไล่ตีตามมาแน่นอน แล้วถึงตอนนั้น ลูกน้องในทัพของมิร่าจะเห็นว่ามิร่ามีเมตตามากเกินไป ต้องบีบให้มิร่านำทัพเข้ามาแน่นอน แต่ตอนนี้ เราตั้งทัพใกล้มากเกินไป อควอโล ถอยทัพ สัก ๑๐๐ เส้นเถอะ พ่อว่า มันจะเป็นการดี ถ้าเราจะดำเนินการศึกเช่นนี้ ถ้ายังตั้งอยู่ที่นี่ เซียนสราญรมย์ย่อมมองกลอุบายออก ไม่ให้มิร่าออกรบแน่นอน หรือถึงออกรบก็คงส่งกองทัพมาเสริมได้ทัน มันแล้วแต่เจ้าแล้วล่ะ  ”
          อควอมาโดสกล่าว ไวโลก็มีความคิดที่คล้ายกันกับอควอมาโดส แต่อควอโลยังไม่เห็นด้วยทั้งหมด จึงพูดไปว่า
                   “ ท่านพ่อ การที่เรายิ่งตั้งห่างพวกมัน พวกมันก็อาจจะทำอย่างที่เราทำก็ได้นะ ” ไวโลจึงพูดขึ้นว่า
                   “ งั้นท่านแม่ทัพก็ทรงกังวลมากไปแล้วนะขอรับ ไฟร์กับเซียนสราญรมย์คงไม่คิดเช่นนั้นหรอก มันถือว่ามันเป็นตระกูลศักดิ์สิทธิ์ มันก็คงไม่ดำเนินศึกเช่นนี้แน่ ”
                   “ อ้า งั้นเจ้าว่าฝ่ายเราทำการต่ำช้างั้นหรือ ”  อควอโลตวาด อควอมาโดสจึงยกมือขึ้นห้ามแล้วพูดขึ้นว่า
                   “ อควอโล พ่อไม่คิดเลยว่าเจ้าจะคิดเช่นนั้น ที่ไวโลพูดน่ะถูกแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราเลวกว่าพวกมัน เพียงแต่ในสนามรบคนที่กล้าเสี่ยงที่สุด คือผู้ชนะ อควอโล เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด เจ้าจำคำๆนี้ได้ไหม พ่อน่ะต้องเสียที่ข้าศึกมันมาครั้งหนึ่งแล้ว เพราะข้าคิดว่าเราสู้กันก็ควรจะสมศักดิ์ศรี แต่ก็เพราะศึกครั้งนั้นน่ะแหละ ทำให้พ่อถูกปู่ของเจ้าตัดออกจากการรับตำแหน่งจ้าวนครมหาเทวะ พ่อเลยอยากจะบอกลูกว่า ถ้ามันเป็นชัยชนะ มันก็การสู้ที่สมศักดิ์ศรีแล้ว เราไม่ได้ผิดกฎสงครามแม้แต่ข้อเดียว อีกอย่าง ถ้าเรายังยืดเยื้อต่อไป หากโอเบลิสถูกปลุกขึ้นมาก่อนปู่เจ้าล่ะก็ การศึกครั้งนี้ เจ้าแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มมองชัยภูมิ มีเพียงปู่เจ้าเท่านั้นที่มองกลยุทธ์ของโอเบลิสออก เซียนสราญรมย์ที่ว่าฉลาด ยังเจ้าเล่ห์ไม่เท่าเจ้าโอเบลิสพ่อของมันเลย ”
          อควอโลจึงคลายโทสะลงแล้วหันมาขอโทษไวโล
                   “ ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วยที่ข้าต่อว่าเจ้า เจ้าเป็นผู้ที่ข้ามั่นใจที่สุด เอ้า เชิญเจ้าเลย ไวโล สั่งจัดการถอยทัพไป ๑๓๐ เส้น ”
          ไวโลน้อมรับ แล้วออกมาสั่งกับกองทัพด้านนอกด้วยเสียงอันดังว่า “ ด้วยอาญาสิทธิ์ที่ข้าได้รับ ถอยทัพ ๑๓๐ เส้น รับบัญชา ”
          เหล่ากองทัพเมื่อได้ยินคำสั่งก็ลุกขึ้นจากที่นอนจัดการเก็บขนของ ทางฝ่ายนพเก้านคร เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวก็จัดการลั่นกลองสัญญาณทันที เหล่าทหารที่เตรียมพร้อมก็ต่างลุกขึ้นจัดทัพกันอย่างรวดเร็วแต่เป็นระเบียบ มิร่าออกมาดูทัพด้วยตนเอง ด้านเซียนสราญรมย์ ไฟร์ ไวร์มาร์ค ไร เร็น ก็ออกมาดูการเคลื่อนไหว “ ทหารเห็นพวกมันเตรียมตัวกันพ่ะย่ะค่ะ ” มิร่ากล่าวกับไฟร์ “ อืม ข้าเห็นแล้ว แล้วกองทัพเราล่ะเป็นอย่างไรบ้าง ” ไฟร์ถาม
                   “ จากการฝึกซ้อม คาดว่าอีกสักครู่ ก็คงจัดรูปขบวนเสร็จนะพ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่คิดว่ามันจะจู่โจมตอนดึกเช่นนี้ ”
                   “ มันไม่ได้จู่โจม แต่กำลังถอย โน่น ดูนั่นสิ พวกมันเริ่มจัดการรื้อป้อมแล้ว ”
          เซียนสราญรมย์กล่าว ทั้งหมดหันไปดู แล้วก็พบว่า  ทัพของอควอโลรื้อป้อมจริงๆ ไฟร์กับไวร์มาร์คและเหล่าแม่ทัพทำสีหน้าสงสัย ไฟร์ถามเซียนสราญรมย์ว่า
                   “ มันจะถอนกำลังทำไม”
                   “ มันจะเล่นอุบายกับเรา” เซียนสราญรมย์ตอบ “ อุบาย อุบายอะไรกันท่านลุง ” ไฟร์ถาม
                   “ ถ้าข้าเดาไม่ผิด มันต้องการให้เราไปสู้กับมันโดยไกลจากเมืองหลวงมากที่สุดเท่าที่มันจะทำได้ หากเพลี่ยงพล้ำอะไร เราช่วยมิร่าไม่ทันการแน่ ” เซียนสราญรมย์กล่าว มิร่าจึงพูดว่า
                   “ งั้นข้าว่าให้ท่านไร เป็นผู้นำทัพครั้งนี้ดีกว่านะท่าน ”
                   “ มิร่า ข้าไว้ใจเจ้ามากที่สุด ยังไงเจ้าก็ต้องนำทัพครั้งนี้ไป ข้าว่าข้าจะไปกับเจ้าด้วย ” เซียนสราญรมย์กล่าว ไฟร์หันมาแล้วพูดว่า
                   “ ท่านลุง การนำทัพครั้งนี้ หลานว่า สมควรให้ไรไปจะดีกว่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจเจ้านะ มิร่า แต่ถ้าหากมันเล่นอย่างนี้ เราก็ต้องใช้กลศึกที่แยบยล แม้ว่าเจ้าจะชาญตำราอยู่บ้าง แต่ถึงท่านลุงไปด้วย หากเพลี่ยงพล้ำ มันจะไม่ทันการยกทัพไปนะท่านลุง ”
                   “ เอาเป็นว่าข้าไว้ใจมิร่าอยู่เหมือนเดิม ไฟร์ ยังไงลุงก็เป็นเสนาธิการบดี ลุงเชื่อว่าลุงมองคนไม่ผิด หลานล่ะ คิดว่าลุงคิดผิดหรือ ” เซียนสราญรมย์พูด ไฟร์ถึงกับอ้าปากไม่ออก เซียนสราญรมย์จึงหันมาสั่งการกับมิร่าว่า
                   “ เอาล่ะ มิร่า เจ้าให้ทหารไปพักผ่อนเสีย แล้วพรุ่งนี้ค่อยสืบดูอีกที ว่ามันจะตั้งทัพที่ใด ”
          มิร่าน้อมรับ แล้วหันไปสั่งให้เหล่าทหารกลับไปพักผ่อนเสีย ส่วนไฟร์ ไวร์มาร์ค ไร และเร็น เซียนสราญรมย์ก็ให้ไปนอนพักผ่อน ส่วนตนจะขอพิจารณากลศึกครั้งนี้ก่อน หลังจากการเคลื่อนพลของอควอโลเพียงชั่วยามเดียว ทัพของอควอโลก็ถอนไปได้จนหมด เหลือเพียงทหารคอยสอดแนมอยู่เท่านั้น  เซียนสราญรมย์ยืนมองอย่างพินิจพิจารณา ก็เห็นให้กลศึกของอควอโลเป็นอย่างดี แต่ที่สงสัยก็คือ รู้นิสัยของมิร่าได้อย่างไง
          รุ่งเช้า  กองกำลังของอควอโลก็เคลื่อนพลมาประจัญบาลกับทัพนพเก้านคร เซียนสราญรมย์ซึ่งเตรียมการณ์ไว้อยู่แล้ว ไม่ได้มีสีหน้าตกใจแต่อย่างใด ส่วนกองทัพของมิร่าก็จัดทัพเพื่อเตรียมประจัญบาลเช่นกัน  โดยที่มิร่ายกทัพห่างจากนพเกาถึง ๒๐ เส้น  เซียนสราญรมย์ขี่ม้ามาเคียงข้างมิร่า อควอมาโดสเห็นเซียนสราญรมย์มาด้วยก็เรียกไวโลมาตักเตือนเรื่องการรบ
                   “ เจ้าจงระวังเซียนสราญรมย์ไว้ให้ดี พยายามทำให้มันแยกจากมิร่าให้ได้ ”
                   “ ขอรับ ถ้างั้นหม่อมฉันขอให้พระองค์ยกทัพ ๗๐,๐๐๐ ตน ไปตรึงเซียนสราญรมย์ไว้ เดี๋ยวหม่อมฉันจะพุ่งไปหามิร่าเอง ” ไวโลบอกวิธีกับอควอมาโดส อควอมาโดสพยักหน้ายิ้มให้ก้อนจะแยกทหารไปรบ
          ไวโลจึงตะโกนก้องกองทัพ “ ทหารทุกคน บุก ” สิ้นเสียงไวโล เหล่ามารร้ายก็กรีฑาทัพเข้าหาฝ่ายมนุษย์ทันที
อควอมาโดสดำเนินตามแผน พากองกำลังที่ตนครองอยู่พุ่งเข้าหาฝ่ายเซียนสราญรมย์ทันที เซียนสราญรมย์คิดว่าอควอมาโดสต้องการสังหารมิร่า จึงพาพล ๗๐,๐๐๐ นาย เข้าสกัดการโจมตีของอควอมาโดส โดยไปคนละทางกับมิร่า ซึ่งไวโลเห็นแล้วก็เห็นเป็นโอกาสดี จึงแบ่งทัพเป็นสองฝั่งตีขนาบข้างมิร่าทันที มิร่าเห็นท่าไม่ตีจึงตีฝ่าวงล้อมออกไป แต่อควอโลก็ยกทัพมากั้นทางหนี มิร่าเห็นท่าไม่ดีจึงส่งสัญญาณเรียกทัพเสริม ซึ่งเซียนสราญรมย์สั่งให้จัดเตรียมไว้ ๑๐๐,๐๐๐ นาย มาเพื่อช่วยเหลือ เซียนสราญรมย์หันไปดูก็รู้ว่าเสียรู้อควอมาโดสเข้าแล้ว จึงสั่งแปรทัพเพื่อช่วยมิร่าออกมา แต่อควอมาโดสมาขวาง เซียนสราญรมย์เห็นท่าไม่ดีจึงเร่งพลังลมปราณ เปล่งพลัง “ เหมันต์หิมะ ” เป็นไอเย็นสลับร้อนใส่กองกำลังมารของอควอมาโดส มารกว่าพันตนถุกใอแล้วตายทันที เซียนสราญรมย์หมุนสะบัดเสื้อคลุมแล้วกระโดด แล้วพุ่งเข้าหามิร่าทันที พอมาถึงก็สะบัดออกสองข้างแล้วเปล่งพลัง “ ยอดหิมะทลายคิมหันต์ถล่มปราการ ” เปล่งอาณาบริเวณ ๙ วารอบๆตัว แล้วพูดกับมิร่าว่า
“ ไปมิร่า วันนี้เรายากแก้แล้ว ข้าเสียทีมันเอง ฮึ น่าเจ็บใจนัก ”
 มิร่าพยักหน้าแล้วตะโกนว่า “ ทหาร ถอยทัพ ” อควอโลได้ยินจึงสั่งหยุดทัพ “ ไม่ต้องตาม ”  เซียนสราญรมย์นำมิร่าออกจากรัศมีการตามของอควอโล ฝ่ายทัพของอควอโลร้องดีใจในชัยชนะ  พอไฟร์เห็นกองทัพเคลื่อนกลับมาก็รีบควบม้าเข้าดูทันที  พอเห็นทหารต่างหน้าเสียกัน ก็เริ่มใจไม่ดี ควบไปหาเซียนสราญรมย์ทันที เซียนสราญรมย์ยกมือห้าม ส่ายหน้าไปมา ไฟร์ก็เข้าใจทันที สั่งให้เลื่อนยศทหารที่กลับมาได้ ๑ ขั้นทุกๆนาย เหล่าทหารที่ขวัญเสีย พอรู้เรื่องก็ต่างรู้สึกชื่นใจขึ้นมาทันที    ณ  ท้องพระโรงนพเก้านคร  เหล่าเสนาอำมาตย์ราชปุโรหิตต่างมานั่งประชุมกันด้วยอาการเงียบงึม  ไฟร์เตรียมจะพูด แต่เซียนสราญรมย์พูดขึ้นก่อน
                   “ ขอต้องขออภัยท่านไฟร์ด้วย ที่ประมาทมองกลศึกของฝ่ายศัตรูไม่ออก ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพวกมันคิดแยกข้ากับมิร่า ข้าคิดว่าพวกมันคงไม่มีกลยุทธ์ขนาดนั้น ข้าขอประทานอภัย ”             
                   “ หลานก็ไม่ได้โทษท่านลุงมากขนาดนั้น เพียงแต่สงสัยว่า ทำไมท่านลุงถึงเสียทีมันง่ายๆ เช่นนั้น ” ไฟร์พูด เซียนสราญรมย์ลุกขึ้นพูด
                   “ ไฟร์ หลานต้องเข้าใจ ลุงยกทัพไป เพราะรู้อยู่เต็มอก ว่ามันจะล่อเราให้ห่างนพเก้านคร หลานคงสงสัย ว่าทำไมลุงถึงเข้าไปสกัดอควอมาโดส โดยหนีห่างมิร่า เพราะว่า ลุงรู้ดี ว่าอควอมาโดสมีฝีมือขนาดไหน หากลุงปล่อยหั้นเข้าถึงตัวมิร่า มันอาจอาศัยช่วงชุลมุนสังหารมิร่าได้โดยง่ายและหากมิร่าตายลงขวัญทหารเราเสียหมดแน่ ”
                   “ หม่อมฉันผิดเองพระพุทธเจ้าค่ะ ที่ไร้ฝีมือ ทำให้ท่านเซียนสราญรมย์ต้องทำศึกห่วงหน้าพะวงหลังเช่นนี้ ” มิร่าลุกขึ้นกล่าว แล้วคุกเข่าลงต่อหน้าไฟร์  แต่ไฟร์ก็พูดว่า “ ไม่เป็นไร มิร่า เจ้าเป็นคนที่เก่งพอควร ไม่ยังงั้น คงฝ่ากองทัพมันมาได้หรอก ฮ่า ” ไฟร์กล่าวแล้วหัวเราะชอบใจ ในท้องพระโรงสถานการณ์จึงเริ่มผ่อนคลาย มิร่าก้มหัวน้อมคำนับ แล้วนั่งลงที่เดิม  ไฟร์นั่งลงแล้วกล่าวว่า
                   “ เอาเป็นว่า ศึกครั้งนี้ มันได้เป็นประสบการณ์ให้กับเราแล้วว่า ศึกครั้งนี้มันจะยิ่งใหญ่กว่านี้มาก ต่อไปเราทุกคน ทุกท่าน ไม่ว่าอยู่ในตำแหน่งใด ก็จงพิจารณาให้รอบคอบว่า มันเป็นการดี ถ้าเราจะรักษาหน้าที่เราให้มั่นคง นับแต่นี้ต่อไป นพเก้านครของเราจะต้องเตรียมกองกำลังให้มันมากกว่านี้อีกหลายเท่าตัว เอาเป็นว่าศึกครั้งนี้ คือบทเรียนที่ทุกคนจะจำตลอดไป ตัวข้า ก็ขอชื่นชมเหล่าทหารกล้าทุกนายที่ยอมเสียสละชีวิตเพื่อแสดงศักยภาพของเราให้มารพวกนั้นเห็น แม้ศึกครั้งนี้เราจะแพ้ แต่ผลสุดท้ายของเรื่อง เราจะต้องเป็นผู้เหลือรอด ”
          “ น้อมรับพระราชโองการพระเจ้าค่ะ ” ทั้งหมด ณ ที่นั้นพูดขึ้นพร้อมกัน
           คืนนั้น ด้านค่ายของอควอโล ได้มีการจัดเลี้ยงกันอย่างยิ่งใหญ่ เหล่าทหารนายกองต่างได้รับปูนบำเหน็จรางวัลคนละ ๓ ขั้น อควอมาโดสนั่งคุยกับอควอโลว่า
                   “ ฮ่า ลูกข้า ข้าว่า เจ้าน่ะทำสำเร็จแล้วรู้ไหม กลับนครไป ทางอาวุโสสภาจะต้องให้การสนับสนุนเจ้าอย่างเต็มกำลังแน่นอน ฮ่า ข้าอยากจะเห็นหน้าปู่ของเจ้านัก ข้าเกือบลืมไปแล้วว่า หน้าท่านเป็นอย่างไร”
                   “ ขอบพระทัยท่านพ่อ ข้าน่ะ มีท่านพ่อคอยส่งเสริมอยู่ต่างหากจึงสามารถที่จะทำได้ขนาดนี้”
          อควอโลยกแก้วน้ำจัณฑ์ขึ้นแล้วยกขึ้นดื่ม  ไวโลเดินเข้ามาแล้วก้มคำนับ
                   “ ขอเดชะ ด้านนอกมีคนต้องการพบองค์ราชันย์พระเจ้าค่ะ ” อควอโลหันมองหน้าอควอมาโดส แล้วหันไปถามไวโลว่า “ ใครหรือ ” ไวโลบอกไปว่า “ อืม เขาห้ามไม่ให้หม่อมฉันบอกนะพระเจ้าค่ะ ” อควอโลจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไปดู พออกมาก็ทำสีหน้าตกใจยิ่งนัก เพราะคนที่มาหาเขานั้นเป็นอิสตรี สวมอาภรณ์สง่างดงาม จับจีบชาย เป็นอาภรณ์คลุมตัวสวมสไบสีฟ้าน้ำเงินคราม  สวมมงกุฎยอดลาย ห้อยสายน้ำเพชร สายตาหยาดน้ำผึ้งกระพริบใส่อควอโล นางคือคู้หมั้นของอควอโล หญิงที่รักและเชื่อฟังอควอโลที่สุด นามของนางคือ เบคัส นางพูดกับอควอโลว่า
                   “ แหม แอบหนีน้องมาหาฮาโมอีกแล้วหรือเพค่ะ เสด็จพี่ ”
                   “ อ่า พี่ไม่ได้คิดอย่างนั้น เพียงแต่พี่มาออกศึกทำสงครามเพื่อเป็นเกียรติประวัติของเผ่าพันธุ์เรา พี่ไม่ได้มาทำอะไรเสียหายสักหน่อย ” อควอโลกล่าว เบคัสยิ้ม หลบหน้าแล้วก็เงยขึ้นมาพบว่า
                   “ อ่า ถ้างั้น วันนี้ น้องก็นอนในค่ายของท่านได้สิเพค่ะ ” อควอโลพยักหน้าปากก็พูดว่า “ ได้ๆ ” ทำเอาเบคัสยิ้มแล้วเดินเข้าไปในกระโจม อควอโลเดินตามไป เบคัสกำลังทำความเคารพอควอมาโดส อควอมาโดสก็ชวนนางดื่ม เบคัสปฎิเสธแล้วถามถึงที่พักของอควอโล อควอมาโดสหัวเราะแล้วชี้เข้าไปในสุดทางกระโจม เบคัสเดินเข้าไปแล้วล้มตัวลงนอนทันที อควอโลหันมามองหน้าอควอมาโดส แล้วลงนั่งดื่มต่อ อควอมาโดสจึงพูดขึ้นว่า
                   “ อควอโล เบคัสเขารักเจ้ามากนะ เจ้าไม่น่าเอาฮาโมมาทำให้เจ้ากับนางไม่ลงเอยกันเลย ไม่น่าเลยจริงๆ ข้านะไม่อยากสอนเจ้า แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นลูกข้า ข้าย่อมอยากให้เจ้าได้ดีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเจ้าก็ควรจะรักตัวเองซะบ้าง อย่าไปฝืนกับสิ่งที่เจ้าไม่สามารถควบคุมมันได้เลย ข้าขอเตือน ”
          อควอโลนั่งนิ่งไปสักพัก อควอมาโดสขอตัวไปนอน ปล่อยให้อควอโลนั่งดื่มคนเดียว เขาจึงนั่งพิจารณาสิ่งที่อควอมาโดสพูดเมื่อสักครู่ มันก็จริงนะ เขาคิดกับตัวเอง เพราะการที่เขาต้องเข้ามาสู่วังวนแห่งสงคราม เพราะเขาไม่อาจเลิกรักฮาโมนิก้าได้นั่นเอง เขานั่งดื่มไป คิดไป โดยที่ไม่เข้าไปนอนในที่พักซึ่งตอนนี้ เบคัสได้นอนรอเขาอยู่ก่อนแล้ว แต่ตัวเขาเอง กลับไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้องนาง เขาจึงกินจนหลับคาโต๊ะ เบคัส ซึ่งความจริงแล้วนอนดูเขาตลอดเวลา พอเขาหลับ ก็เดินเอาผ้าห่มมาห่มให้ทันที แล้วก็จัดแจงทำที่นอนให้เขาแล้วก็กลับไปนอนที่เดิม นางยิ้มมุมแก้ม แล้วก็นอนหลับไป โดยที่มีคนมองดูอยู่หน้ากระโจม อควอมาโดสยืนมองทั้งสองด้วยความเอ็นดู เขายืนดื่มน้ำจัณฑ์แล้วพูดกับตัวเองว่า
                   “ อืม อควอโลเจ้าน่ะ จะรุ่งเรืองเพราะสตรี และก็จะพินาศเพราะสตรี ฮ่า ”

แล้วก็เดินกลับกระโจมที่พัก คืนนั้น ไฟร์กับเซียนสราญรมย์ยังคงนั่งคุยกันในท้องพระโรง ซึ่งก็เป็นเรื่องสัพเพเหระต่างๆ เพราะเซียนสราญรมย์ไม่ต้องการให้ไฟร์เครียดกับการศึกครั้งนี้ เซียนสราญรมย์ ก็เลยเล่าถึงการผจญภัยต่างๆ ในชีวิตของเขา ไฟร์ก็ฟังอย่างมีอารมณ์สุนทรี ไฟร์เองก็กล่าวชื่นชมเซียนสราญรมย์ที่มีผลงานมากมายขนาดนั้นจนทั้งคู่เกือบลืมการศึกไปแล้ว ทั้งสองคุยกันจนดึกดื่น แล้วก็ลากันเข้าห้องพัก ภายใต้แสงพระจันทร์เพ็ญเด่นสง่า นอกนครไปหลายร้อยเส้น ณ เมืองมหานครภูผาคีรีบุรี มีการเคลื่อนพลมหึมา มายังนพเก้านคร โดยที่นำทัพมา เป็นรถม้าขนาดใหญ่ เป็นม้าพันธ์มหัศจรรย์สามารถวิ่งได้ถึง ๑ โยชน์ต่อวัน สีขาวผ่องส่องประกายเพราะประดับด้วยบังเหียนเพชร เกือกม้าเป็นเงินบริสุทธิ์ ผสมแร่ปรอท ทำให้วิ่งได้ต่อเนื่องแต่ใช้เสียงเบามาก ประกอบกับเกราะที่ใส่เป็นโลหะเบา ตัวราชรถก็เป็นไม้สักทองทั้งหลัง ประดับด้วยนพรัตน์ หลังคามุงด้วยวัสดุที่แข็งแรงแต่มีน้ำหนักน้อย  ภายในมีตู้หลังหนึ่ง มีดาบรวมทั้งสิ้น ๙ เล่ม  เป็นดาบที่งดงามราวสวรรค์สรรค์สร้าง มีชายคนหนึ่งเป็นผู้ที่ดูดีมีภูมิฐาน สวมอาภรณ์ดั่งเป็นกษัตราธิราช สวมมงกุฎสีทองคำอร่าม หนวดโค้ง คิ้วยาว นั่งตรงข้ามกับสตรีสองนางและบุรุษหนึ่ง ซึ่งสตรีนางหนึ่งนั้นคือ อลิซเบส และข้างๆของนางก็คือสตรีที่มีหน้าตาคล้ายๆกัน แต่ดูออกจะสวยงามกว่า ทั้งคู่สวมอาภรณ์เป็นชุดพระราชธิดา ใส่ชฏาสีบุษราคัม นางคือ อลิซมัน น้องสาวของอลิซเบส และหนุ่มที่นั่งข้างๆนางเป็นบุรุษที่ดูแสนจะโอ่อ่า สวมชุดคล้ายๆกับบุรุษคนแรก แต่ใส่ชฏาสีทองอร่ามที่สีอ่อนกว่าใส่อาภรณ์ดูงดงามน้อยกว่าสักเล็กน้อย เขามีนามว่า อเล็กซ์ และสุดท้ายบุรุษท่านแรกที่เอ่ยถึงย่อมเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก มหาจอมยุทธ์ที่ทรงมหินทรานุภาพด้านเพลงดาบมากที่สุด เป็นจอมดาบอันดับหนึ่งของโลก เป็นบุรุษที่น่าเกรงขามที่สุดที่เหล่ามารทั้งมวลต่างพากันครั่นคร้าม เขาคือ ดาบสวรรค์ นั่นเอง

มหาสงครามชิงพิภพ 2

มหาสงครามชิงพิภพ
ตอนที่ ๑ จุดเริ่มต้นของสงคราม
บทที่  ๒ ปฐมศึกชิงนางหงส์

          หงส์ปรากฏ

“ ทำไม เจ้าจะฆ่าพี่สาวเจ้าหรือไง ” 
          เฮอร์ไมโอนี่ถามแหย่ ๆ ไวร์มาร์คยิ้มแล้วตอบกลับไป
                   “ ฮ่า พี่ของน้องไม่ได้เป็นเหมือนพี่ ซะหน่อย จะได้พาไปฆ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ”
          เฮอร์ไมโอนี่ฟังแล้วหน้าแดง เซียนสราญรมย์กับเทพีกชกรแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ แล้วไวร์มาร์คก็พูดขึ้นว่า
                   “ น้องขอโทษที น้องแค่จะให้ท่านแม่ฟ้าพญาหงส์เป็นผู้คุ้มกันพี่ฮาโมเท่านั้น ”
                   “ คุ้มกัน ? คุ้มกันทำไมล่ะ ”
          เฮอร์ไมโอนี่ถามแบบงงๆ เซียนสราญรมย์เลยเล่าเรื่องของอควอโลให้ฟัง เฮอร์ไมโอนี่ฟังแล้วก็ดีดนิ้วดังเป๊าะ
                   “ งั้นเจ้าก็คิดถูกแล้วล่ะ  เพราะแม่ฟ้าพญาหงส์คนนี้นะ เป็นคนที่ข้าคิดว่าเป็นหญิงที่เกรงขามที่สุดเลยนะ นางเป็นคนแรกนอกจากท่านพี่ ที่อ่านใจข้าออก ข้าเนี่ย เป็นอันกระดิกตัวไม่ได้เลย ดีว่าดรีมเป็นคนเรียบร้อยอยู่แล้ว เลยไม่ประหม่า เวลาที่อยู่ใกล้นาง แต่กับข้าเงี้ย นางมองข้าตลอดเวลาเลย ไม่ห่างตา ข้าจะทำอะไรผิดนิด ผิดหน่อย นางเป็นอันต้องว่าข้าตลอด ตอนไปสมัครเรียนนะนางไม่เห็นจะเจ้ากฎเจ้าระเบียบขนาดนี้ พอรู้ว่าข้า ชื่อ เฮอร์ไมโอนี่ น้องสาวเซียนสราญรมย์เท่านั้นแหละ นางเคร่งขรึมขึ้นมาทันทีเลย ”
                   “ สงสัยว่านางจะรู้ว่าเจ้าแก่นกะโหลกกะลาเล่ามั้ง ฮ่า ข้าอยากจะเจอ แม่ฟ้าพญาหงส์ซะแล้วสิ ”
          เซียนสราญรมย์หัวเราะ อมยิ้ม ไวร์มาร์คก็เลยพูดขึ้นว่า
                   “ ฮ่า ดีเลย ข้าว่าจะไปเกลี้ยกล่อมพี่ฮาโมให้ไปอยู่ที่นั่นสักพัก พอเริ่มเพลาๆเรื่องนี้แล้ว ค่อยออกมา ออ แล้วแม่ฟ้าเนี่ย เค้ารับสมัครนักเรียนอยู่ไหมล่ะ ข้าจะไปให้พี่ฮาโมไปสมัคร ”
          เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มตลกๆ แล้วตอบไปว่า
                   “ ก็คงรับมั้ง  ข้าว่านางคงรับอีกเรื่อยๆน่ะแหละ ไม่น่าจะเต็มไว เพราะมีแค่ข้ากับดรีมสองคนเอง ”
                   “ สองคน บ้าไปแล้ว แต่ก็ดี งั้นหลานไปเมืองดีกว่าไปให้พี่ฮาโมมาเรียนบ้าง ออ ดรีม เดี๋ยวพี่ไปก่อนนะ พรุ่งนี้พี่จะมาใหม่ ”
          ไวร์มาร์คกล่าวกับเฮอร์ไมโอนี่  แล้วหันมาคำนับเซียนสราญรมย์  ก่อนจะหันไปลาดรีม เซียนสราญรมย์ผงึกหน้าเป็นอันว่าเข้าใจ ไวร์มาร์คคำนับก่อนเดินออกมาจากเมือง  แล้วก็แวะคำนับเทพสุริยัน เทพสุริยันลูบศีรษะไวร์มาร์คเบาๆ แล้วไวร์มาร์คก็ควบม้ากลับเมืองทันที   ระหว่างทางเขาก็บังเอิญพบกับศัตรูที่เพิ่งจากกันมาไม่นาน นั่นคือ อควอโลนั่นเอง ไวร์มาร์คไม่ได้แสดงทีท่าตกใจหรือหวาดกลัวแต่ประการใด  เขาเหยาะม้าเข้าไปใกล้ อควอโลซึ่งอยู่กับแม่ทัพถึง ๘ ตน อควอโลยิ้มมุมปาก โบกมือให้แม่ทัพแหวกทางออกไป ผายมือให้ไวร์มาร์คเดินเข้ามา
                   “ มาหาข้าหรือ ไวร์มาร์ค ”
                   “ เกรงว่าจะไม่ใช่ น้องบังเอิญผ่านมาเฉยๆ ไม่ได้ตั้งใจมาหาท่านหรอก ”
          ไวร์มาร์คตอบ อควอโลเหยาะม้านำหน้าไปสัก ๒-๓ วา แล้วหันมาพูดว่า
“ ถ้ายังคงเป็นเช่นเดิม ตามข้ามา ไม่งั้นเจ้าไม่มีวันออกจากป่านี้ได้แน่ ฮ่า ”
“น้องคงเชื่อท่านได้นะ มา  เราไปสังสรรค์กัน ”
          ไวร์มาร์คตอบกลับ อควอโลยิ้มแล้วพาไวร์มาร์คไปในค่าย ค่ายของอควอโลนั้นใช้ไม้สักทองเป็นรั้วกั้นรอบนอก คะเนจากสายตาคงประมาณ ๕๐ ไร่เศษ ซึ่งที่ไวร์มาร์คก่อความวุ่นวายไปเมื่อวานเป็นเพียงค่ายพักทหารเท่านั้น ทหารอยู่ในค่าย ล้วนสวมเกราะกันทุกคน เพื่อเตรียมพร้อมตลอดเวลา ซึ่งเกราะเป็นเกราะชนิดพิเศษ สร้างจากเนื้อโลหะ ๙ ชนิด  เบาเป็นพิเศษ แต่คงความแกร่งไว้เหมือนเดิม ค่ายมีเสบียงพร้อมเพรียง แสดงว่าเตรียมบุกเต็มที่ แต่จากสายตาคาดว่ามีเพียง ๙,๐๐๐ เศษเท่านั้น อควอโลพอไวร์มาร์คมาหยุดหน้ากระโจมของตัวเขาเอง  เป็นกระโจมที่สูงราว ๒ วา กว้างพอให้ได้นอนพักกันเป็น สิบๆคน แล้วก็โอ่อ่าเท่าที่ในป่าจะทำได้ ตกแต่งเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน  ไวร์มาร์คลงจากม้าแล้วก็เดินเข้าไปนั่ง อควอโลเดินเข้าตามไป ก่อนนั่งสั่งทหารจัดเตรียมเครื่องเสวยชุดใหญ่ให้ไวร์มาร์ค ไวร์มาร์ครับมาแล้วมองหน้าอควอโล อควอโลพยักหน้าให้กิน  ไวร์มาร์คยกน้ำจัณฑ์ขึ้นดื่ม แล้วหยิบเนื้อหมูป่ากิน
                   “ น้องก็คิดว่าพี่จะโกรธน้องซะแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า ”
                   “ ข้าก็โกรธ ไวร์มาร์ค เพียงแต่ข้าอยากจะเลี้ยงเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้นเอง เจ้าก็รู้นี่ ว่าเราคงไม่ได้พบกันแบบเป็นมิตรแล้ว ต่อไป คงระแวงกันไม่สิ้นสุด ฮ่าฮ่าฮ่า ”
          อควอโลพูดพลางยกน้ำขึ้นดื่ม  ไวร์มาร์คยกเนื้อคาไว้แล้วพูดว่า
                   “ พี่คงนึกเรื่องนี้มาก่อนจะยกทัพมาแล้วสิ น้องไม่เข้าใจว่าทำไมท่านพี่ต้องทำอย่างนี้ ”
          อควอโลไม่พูด แต่เรียกทหารเข้ามาแล้วส่งไปว่า
                   “ จงนำแว่นแก้วสูรกานต์รำพึงเข้ามาให้ข้าที ”
          ไวร์มาร์คถึงกับตาลุกวาวเมื่อได้ยินอควอโลพูด
                   “ แว่นแก้วสูรกานต์รำพึง นั่นมันหนังสือนำทางของยมทูตนี่ ท่านพี่ มันมาอยู่กับท่านพี่ได้อย่างไร ”
                   “ ออ ข้าลืมบอกไป ตอนนี้ทางสภาชั้นสูงอเทวพิชิตได้ทำการเปิดประชุมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ ๑๐๐ ปี เพื่อลงมติให้นำกำลังเพื่อยึดอำนาจของฝ่ายมนุษย์ได้เต็มที่ โดยเสียงมติเป็นเอกฉันท์ อีก ๒๘ เดือน ทางอาวุโสสภาจะทำพิธีคืนชีพท่านบรมมาร อควอโลมาโดส เพื่อบัญชาการกองกำลัง โดยช่วงนี้ให้ข้าเป็นผู้บัญชาการสูงสุดไปเป็นการชั่วคราว โดยกองกำลังที่เจ้าเห็นเป็น ๑ กองสิบ โดย  ๙ กองสิบเป็น๑ กองร้อย   ๘ กองร้อยเป็น ๑ กองพัน   ๕ กองพัน เป็น ๑กองพล โดยทั้งหมดมีทั้งสิ้น ๗ กองพล เป็นเพื่อต้านการโจมตี และ ป้องกันพวกมนุษย์ที่ทำหน้าที่เป็นปราการคุณธรรม โดยจะเรียนเชิญราชันย์อสูรทมิฬ มาเพื่อประมือกับดาบสวรรค์โดยทันทีที่ต้องการ โดย ตรึงกำลังด้านใต้ไว้ทั้งสิ้น ๒ กองพล ๓ กองพัน โดยแว่นแก้วอสูรกานต์รำพึงอันนี้ เป็น ๑ ใน ๗ ของทั้งหมดที่ใช้ในกองทัพ เพื่อติดต่อสื่อสาร  โดยมีมารยมทูตเป็นสื่อกลาง ”
          ไวร์มาร์คถึงกับตลึงกินไม่ลง เมื่ออควอโลอธิบายจบ ไวร์มาร์ควางอาหารแล้วยิ้มแบบไม่เชื่อ อควอโลผงึกหน้า ไวร์มาร์คถึงกับพูดไม่ออก แต่ก็พยายามพูดออกไปว่า
                   “ งั้นน้องก็คงจะต้องขอตัว อ่า แล้วที่ท่านพี่บอกว่าจะมาสู่ขอพี่ฮาโมล่ะ ท่านพี่ทำไปเพื่ออะไร ”
                   “ ไวร์มาร์ค มันเป็นเพียงแค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้นเอง ”
          ไวร์มาร์คอึ้งไปซักพักแล้วยกถ้วยน้ำจัณฑ์ขึ้นดื่มหมดถ้วยจนชาไปทั้งหัว แล้วลุกขึ้นจะออกจากกระโจม โดยหันมาบอกกับอควอโลว่า
                   “ งั้นน้องก็อยากจะบอกกับพี่ว่า น้องขอดื่มถ้วยเมื่อซักครู่นี้เป็นครั้งสุดท้ายทดแทนมิตรภาพทั้งหมดที่มีให้กัน น้องขอลา ”
          อควอโลยกถ้วยขึ้นดื่มแล้วยกให้ไวร์มาร์คพร้อมพูดว่า “ เช่นกัน น้องชาย ฮ่าฮ่าฮ่า ”
          ไวร์มาร์คขึ้นม้าซึ่งทหารของอควอโลเตรียมไว้ให้แล้ว แล้วควบออกจากค่ายทหารโดยเร็ว เขาครุ่นคิดตลอดเวลาที่ควบม้ากลับนพเก้านคร ทั้งเรื่องการจัดการกองทัพ การแจ้งข่าวสารการยกพลครั้งใหญ่ของเหล่ามาร การจัดการเรื่องของฮาโมนิก้า อีกทั้งเรื่องของเทพีกชกรที่เขาพึ่งจะเริ่มความสัมพันธ์มาหยกๆ เขาขมวดคิ้วตลอดทาง จนถึงหน้านพเก้านคร  ไวร์มาร์คเหยาะม้าย่องเข้านพเก้านคร เก็บม้าและเข้าไปในท้องพระโรง ซึ่งเป็นเวลาเสวยพระกายาหารค่ำของไฟร์ ซึ่งเมื่อเข้าไปก็พบพระบรมวงศานุวงศ์ของสกุลอหังการ์ เขาต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อพลันนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันสังสรรค์อาหารค่ำประจำตระกูลซึ่งปฏิบัติกันทุกๆ ๙ ปี ไฟร์ซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะกล่าวขึ้น
                   “ ข้าคิดว่าเจ้าจะลืมเสียแล้วว่าเจ้าเป็นคนของสกุลอหังการ์ ”
          ไวร์มาร์คค่อยๆเดินมานั่งแล้วก็เริ่มทานอาหารแล้วก็ส่ายสายตาสำรวจรอบๆ ตรงข้ามเขาคือฮาโมนิก้า ถัดไปเป็น ไลล่า เซลาเดียส เจนน่า เฮอร์ไมโอนี่ ลูน่า ส่วนข้างๆ ตัวเขา คือ อาเธอร์ เซียนสราญรมย์ กราด้า คุนก้า ลีน่า ซึ่งทั้งหมดเป็นเครือวงศ์วานสายพระชนก และพระชนนี โดย เซลาเดียส เจนน่า ลีน่า ลูน่า เป็นญาติฝ่ายไลล่า  และอาเธอร์ เซียนสราญรมย์ กราด้า คุนก้า เป็นญาติฝ่ายเมก้า โดยงานเลี้ยงสังสรรค์นี้ เป็นงานเลี้ยงเพื่อพบปะกันในครอบครัวเพื่อสังสรรค์สนทนากัน เป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาเพื่อให้วงศ์วานนั้นสนิทสนมกลมเกลียวกันตลอดไป ซึ่งการทานอาหารก็ดำเนินต่อไปจนอาเธอร์พูดขึ้นมาว่า
                   “ อืม หลานไวร์มาร์คไปไหนมาล่ะ ไหนลองเล่าให้ลุงฟังหน่อยสิ ”
                   “ อ่า ท่านลุงอย่าไปถามเขาเลยเพคะ ขนาดงานสังสรรค์ของตระกูลที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่เขาเกิดยังลืมเลย แล้วจะนับประสาอะไรกับเรื่องที่เพิ่งเกิดเมื่อตอนกลางวัน "
          ฮาโมนิก้าพูดขึ้น เฮอร์ไมโอนี่ยิ้ม ไลล่าก็ยิกแขนฮาโมนิก้า นางร้องโอ๊ยเบาๆ อาเธอร์จึงถามไวร์มาร์คซ้ำคำถามเดิม ไวร์มาร์คจึงตอบว่า
                   “ อ่า หลานไปหาท่านเซียนสราญรมย์นะพ่ะย่ะค่ะ ท่านเซียนเป็นพยานได้ ”
                   “ อืม ใช่ๆ ข้าเป็นพยานได้ อือ แล้วนี่ ลุงยังไม่ได้บอกฮาโมนิก้าเรื่องฝึกวิชาเลย ”
          เซียนสราญรมย์ตอบ แล้วก็หันมามองฮาโมนิก้า ฮาโมนิก้าจึงถามกลับไปว่า
                   “ ฝึกวิชา วิชาอะไรนะเพคะ ”
                   “ วิชาหงส์อมตะน่ะ ”
          เซียนสราญรมย์ตอบ
                   “ หงส์อมตะ ” เสียงทุกคนพูดพร้อมกัน เซลาเดียสพูดก่อนว่า
                   “ นี่พี่ท่าน น้องว่าหลานยังไม่พร้อมที่จะเรียนวิชาอะไรแบบนี้นะคะ ”
                   “ ฮ่า เซเลียส( เป็นชื่อเล่นที่เซียนสราญรมย์ใช้เรียกเซลาเดียส ) เจ้าก็รู้นะ ว่าหลานฮาโมนะฝึกได้ถึงขั้น ๑๒ เชียวนะ ”
          เซียนสราญรมย์ตอบ กราด้าพูดมาว่า
                   “ แล้วพี่ท่านจะให้หลานฮาโมไปเรียนกับใครล่ะพ่ะย่ะค่ะ ”
                   “ แม่ฟ้าพญาหงส์ ”
          เซียนสราญรมย์กล่าวตอบ กราด้าพูดขึ้นอีกว่า
                   “ เราจะเชื่อใจแม่ฟ้าที่พี่ท่านว่าได้หรือ ”
                   “ พี่ท่านอย่าบอกนะว่าคนที่พี่ท่านหมายถึง คือ แม่ฟ้าพญาหงส์ แห่ง ราชสรรค์วิทาไพรี คนนั้น ”
          คุนก้ากล่าวขึ้น เฮอร์ไมโอนี่กล่าวตอบแทนว่า
                   “ ใช่เพคะ ท่านอารู้จักหรือเพคะ ”
                    “ ใช่ นางผู้นี่มีวิชาหงส์อมตะที่ลึกล้ำมาก อาเคยประมือกับนางมา ๒ ครั้ง ครั้งแรกเกิดจากการเข้าใจผิด ครั้งที่สอง นางอยากจะทดสอบข้า วิชานางลึกล้ำมาก ข้าได้ยินมาว่านางใช้ขั้นที่ ๑๔ สู้กับข้า ซึ่งมันยากเกินพรรณนา มันเป็นเหมือนเราหลงไปในอากาศทีมืดดำ พลังทั้งหมดเหมือนถูกนางดูดกลืนสลายไปสิ้น แต่ถึงกระนั้นนางก็เป็นคนมีเมตตามาก อ่า เท่าที่อารู้ นางเป็นสตรีนภาบันดาล( มาจากสรวงสวรรค์ )รุ่นปัจจุบันด้วย ”
          คุนก้าตอบ ไฟร์ซึ่งนิ่งเงียบฟังอย่างตั้งใจต้องพูดขึ้นมาว่า
                   “ สตรีนภาบันดาล นางเป็นรุ่นรองจากท่านย่าหรอกหรือ ”
                   “ อืม ใช่ ท่านอัยกาโอซีริส เป็นสตรีฟ้าบันดารรุ่นก่อนนี่ ตั้งแต่ท่านย่าสิ้นพระชนม์ ก็ไม่มีข่าวสตรีฟ้าบันดาลอีกเลย อ่า สงสัยข้าจะต้องหาทางเจอนางให้ได้ซะแล้ว ฮ่า ”    
          เซียนสราญรมย์พูดขึ้น ฮาโมนิก้าก็เลยพูดขึ้นว่า
                   “ แล้วท่านอา ท่านลุง ท่านป้า ท่านน้า มีความเห็นอย่างไรบ้างล่ะเพคะ ”
                   “ นี่ ไปเรียนเถอะ ข้ากับดรีมก็ไปเรียนนะ ”
          เฮอร์ไมโอนี่พูดพร้อมหันมาขยิบตาให้ไวร์มาร์ค ไวร์มาร์คพยักหน้าตอบ ซึ่งทุกๆคนก็เริ่มเห็นด้วยกันตามๆกัน มีเพียงเซลาเดียสที่ยังนั่งนิ่งไม่พูดอะไร เซียนสราญรมย์จึงหันไปถาม
                   “ เซเลียส เจ้าเป็นอะไร ”
                   “ น้องยังสงสัยน่ะคะ ว่าแม่ฟ้าพญาหงส์คนนี้จะเป็นคนๆเดียวกับที่น้องเจอเมื่อวานซืนหรือปล่าว ”
          เซลาเดียสตอบ เซียนสราญรมย์ถึงกับหยุดคิดไปสักพัก ไลล่าจึงถามขึ้นว่า
                   “ พี่ท่านเจอกับเขาด้วยเหตุอะไร ”
                   “ คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ”
          เซลาเดียสเริ่มเล่าเรื่อง
          ๓ วันก่อน ขณะที่เซลาเดียสกำลังหาสมุนไพรอยู่ที่เขตทุ่งกว้างอุดรไพรีพ่าย ซึ่งเป็นเขตอันอุดมไปด้วยสมุนไพรทั้งมีพิษ และมีคุณ ขณะที่คณะของเซลาเดียสกำลังหาหญ้าทะเลซัด ซึ่งเป็นพืชที่ใช้ผสมยาอายุวัฒนะ แต่ก็เป็นต้นไม้ที่เคลื่อนที่ได้ มันจะอาศัยอยู่ไนที่ๆมันจะปลอดภัย ซึ่งส่วนใหญ่ มันมักจะอาศัยใกล้สัตว์ที่อันตรายต่อสัตว์อื่น ซึ่งในอุดรไพรีพ่ายนี้มีเพียงตัวเดียว คือ ราชสีห์เขี้ยวยาว ระหว่างที่เซลาเดียสสั่งพลแม่นธนูเตรียมสังหารราชสีห์เขี้ยวยาวอยู่นั่นเอง นางก็ก็เห็นสตรีนางหนึ่งร่อนจากฟากฟ้ามาที่หน้าราชสีห์เขี้ยวยาว มันลุกขึ้นคำรามเสียงสนั่นทุ่ง ต้นไม้แถบนั้น ถึงกับแตกออกเป็นสองเสี่ยง หญิงนางนั้นยังยืนสงบ แต่เสื้อผ้าปลิ่วว่อน เหล่าทหารและนางธารกำนัลที่เซลาเดียสพามา ต่างนำมือมาป้องหู เซลาเดียสแผ่มือสองข้างออก อ่านอาคมสร้างเขตกำบังขึ้นมาเพื่อต้านเสียงของราชสีห์เขี้ยวยาว โดยพอต้านเสียงนั้นได้ นางก็หันมาดูหญิงนางนั้นอีกครั้ง  ก็เห็นหญิงนางนั้นกำลังยื่นมือใส่ราชสีห์เขี้ยวยาว นางเปล่งพลังออกมาโดยสะบัดมือออก ราชสีห์เขี้ยวยาวถึงกับถลาออกจากที่เดิมไปร่วมๆ ๕ วา หญิงนางนั้นยื่นมือมาหยิบหญ้าทะเลซัด เซลาเดียสจึงออกมาห้ามนาง
                   “ นี่ท่าน ข้าว่าข้าเห็นมันก่อนท่านนะ ”
                   “ ออ ข้าก็ว่า ข้าเป็นคนกำจัดราชสีห์เขี้ยวยาวนะ ”
          หญิงนางนั้นกล่าว เซลาเดียสจึงพูดไปว่า
                   “ งั้นข้าอยากรู้ชื่อของท่านน่ะ ท่านเป็นใคร ข้าว่าข้าไม่เคยเห็น ”
          หญิงนางนั้นยิ้มแล้วบอกกับนางว่า
                   “ ฮ่า เซลาเดียส เจ้ารู้จักข้า ข้าก็รู้จักเจ้า ข้าคือราชินีแห่งความองอาจ แม่ฟ้าพญาหงส์ นั่นคือชื่อที่ข้าใช้มา ”
                   “ ท่านพูดอะไร ข้าไม่เข้าใจ ท่านมาทำอะไรแล้วต้องการหญ้าทะเลซัดไปทำไม ”
                   “ ฮะ เจ้าคิดว่าสูตรตำราอายุวัฒนะมันเป็นตำราลับหรือไง ฮ่าฮ่าฮ่า ”
          หญิงที่เรียกตัวเองว่า “แม่ฟ้าพญาหงส์”พูดแล้วก็ล่องขึ้นฟ้าแล้วก็หายไป เซลาเดียสยังคงสงสัยอยู่ แต่ก็รีบเดินไปดูหญ้าทะเลซัด ก็พบว่ามันถูกเด็ดไปจนเหลือแต่ราก เซลาเดียสจะเรียกทหารให้นำกระถางมาใส่ราก เพื่อนำไปเพาะในอุทยานหลวง แล้วก็ชำเลืองไปดูราชสีห์เขี้ยวยาว  ก็ต้องตกใจเพราะร่างของราชสีห์เขี้ยวยาวนั้นค่อยๆบิดเบี้ยวไปเรื่อยๆจนเกือบจะกลายเป็นเนื้อที่ถูกกรดกัดกร่อนฉะนั้น เหล่าสนมธารกำนัลต่างพากันอาเจียนออกมา แม้แต่เหล่าทหารยังรู้สึกสะอิดสะเอียน เซลาเดียสจึงได้รู้ว่านี่เป็นสุดยอดของวิชาหงส์อมตะ ซึ่งเธอเคยเห็นมาเพียงครั้งเดียว คือ ครั้งที่โอซีริส ซึ่งเป็นมารดาของเมก้าได้ใช้มันเพื่อสยบพลังมารของอควอมาโดส พ่อของอควอโล

          เมื่อเซลาเดียสพูดจบ เฮอร์ไมโอนี่ถึงกับตลึงไปชั่วครู่แล้วพูดขึ้นว่า
                   “ หลานไม่เคยเห็นแม่ฟ้าทำอย่างนั้นเลยนะเพคะ ”
                   “ น้าก็ไม่ได้บอกนะ ว่านางคือคนๆเดียวกัน ”
          เซลาเดียสพูด ฮาโมนิก้าจึงพูดขึ้นว่า
                   “ งั้นหลานคิดว่าหลานน่าจะไปเรียนกับเขาดูนะเพคะ ”
          ไวร์มาร์ค เฮอร์ไมโอนี่และเซียนสราญรมย์มองหน้ากัน ไฟร์จึงหันมาพูดกับฮาโมนิก้า
                   “ ก็ดี พี่ก็เห็นว่าน้องควรจะไปฝึกฝนวิชาเหมือนคนอื่นๆเขาบ้าง อย่างไรเจ้าก็สกุลอหังการ์ จะไม่มีวิชาติดตัวเลย ก็ไม่ได้ วิชาประจำตระกูลก็เป็นวิชาสายของบุรุษ ก็ดีๆ งั้นรบกวนน้องเฮอร์ไมช่วยฝากฝังฮาโมด้วยแล้วกัน ”
                                “ ได้สิเพคะ เดี๋ยววันมะรืน น้องจะมารับฮาโมไปนะเพคะ หวังว่าฮาโมคงจะไม่ไปดื้อกับแม่ฟ้านะเพคะ ไม่งั้น อาจเป็นอย่างราชสีห์ตัวนั้นก็ได้ ฮ่าฮ่าฮ่า ”
          เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้น ทั้งโต๊ะอาหารจึงคึกครื้นไปด้วยเสียงสรวลเสเฮฮาของบรรดาพี่น้องในตระกูล มีเพียงไวร์มาร์คเท่านั้น ที่ขำไม่ออก เซียนสราญรมย์มองเห็นจึงถามไปว่า
                                “ อ่า หลานไวร์ หลังจากเจ้ากลับมาแล้วเจ้าไปแวะที่ไหนมาล่ะ ”
          ทุกคนต่างนิ่งเงียบรอฟัง ไวร์มาร์คถอนหายใจเฮือกใหญ่
                   “ ถ้าหลานพูดไปหวังว่าทุกคนคงจะไม่ตระหนกกันนะพ่ะย่ะค่ะ ”
          เซียนสราญรมย์พยักหน้า ที่เหลือก็มองหน้ากันแล้วพยักหน้าตามๆกัน ไวร์มาร์คจึงเล่าเรื่องที่ตนได้รู้มาทั้งหมด รวมทั้งแผนการทั้งหมดที่ตนรู้ พอเล่าเสร็จ เซียนสราญรมย์กับไฟร์ต่างมีสีหน้าที่ครุ่นคิด ที่เหลือต่างพูดไม่ออกตามๆกัน ไวร์มาร์คนั่งนิ่ง ไฟร์ลุกขึ้นแล้วพูดว่า
                   “ งั้นหลานขออนุญาตยุติงานเลี้ยงไว้เพียงเท่านี้นะพ่ะย่ะค่ะ    ไวร์มาร์ค ไปตามแม่ทัพทุกคนของนพเก้านครมา  ท่านลุงสราญรมย์ ท่านลุงอาเธอร์ ท่านอากราด้า ท่านอาคุนก้า ท่านป้าเซลาเดียส ท่านทั้ง ๕ รบกวนช่วยมาร่วมประชุมกันด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ ”
                                “ ตอนไหนล่ะ ไฟร์ ” เซียนสราญรมย์ถาม ไฟร์ตอบไปว่า  “ หลังงานเลี้ยงเลิกเลยท่านลุง ”
          หลังจากนั้นไม่นาน ท้องพระโรงก็กลายเป็นห้องประชุมศึกเกือบจะทันที แม่ทัพของนพเก้านครทั้งสิ้น ๙ นาย อันประกอบด้วย แม่ทัพเทพเงาสวรรค์ ไร  แม่ทัพเทพหัสดินทร์  เร็น  แม่ทัพเทพบุศรามณี  มิร่า  แม่ทัพเทพอวตังสกะ นินโป แม่ทัพเทพอวตาร  เวเรล  แม่ทัพเทพทินกร  ฮาบิล  แม่ทัพเทพภาสกร จาน่า แม่ทัพเทพปราบอุดร โอมิน แม่ทัพเทพวิชชากร ชาเรล  ซึ่งเป็นผู้ดูแลทัพที่มีอำนาจมากที่สุดในนพเก้านคร นั่งล้อมโต๊ะคุยปรึกษากันเสียจนเกือบสว่าง ซึ่งได้บทสรุปออกมาว่า จะทำการเร่งขยายกองทัพเต็มอัตราศึก ก่อน ๑ ปีจะต้องมีกองกำลังเพิ่มจากเดิมอีก ๓ เท่า เพิ่มกำลังการป้องกัน โดยเตรียมการปลุกชีพท่านจอมอหังการ์ โอเบลิส ขึ้นมาเพื่อต่อกรกับอควอโลมาโดส โดยให้ไวร์มาร์คดำรงตำแหน่ง จอมปราการนพเก้า  เป็นมหาอุปราชมีอำนาจทางทหารรองจากไฟร์    และเลื่อนยศทหารเอกอีกกว่า ๕๐ นาย คนละ ๑ ขั้น  ยกระดับการป้องกันเป็นระดับเร่งด่วน   เพิ่มยศแม่ทัพเทพเป็นแม่ทัพทะลวงปราการ ซึ่งไฟร์ได้สั่งการให้แม่ทัพทุกคนเร่งรวมพลก่อนสิ้นแสงตะวันในอีก ๘ วันให้หลัง เพื่อรวบรวมกำลังพลเพื่อฝึกฝน ส่วนด้านญาติๆ ไฟร์ได้มอบหน้าที่ในการเร่งหาพันธมิตรฝ่ายธรรมะมาเพื่อด้านทัพเกรียงไกรของอควอโล โดยคาดหวังกันว่า สมควรสลายกองทัพก่อนที่อควอโลมาโดสจะฟื้นคืนชีพ ไม่เช่นนั้นการศึกจะยืดเยื้อไปไม่มีที่สิ้นสุด
          จนรุ่งเช้า บุคคลทั้งหมด ยกเว้น ไฟร์กับไวร์มาร์ค ต่างเข้าพักผ่อน ไฟร์เรียกไวร์มาร์คมานั่งสนทนา
                   “ ไวร์มาร์ค พี่รู้สึกหนักใจมากเลยกับเรื่องราวในวันนี้มาก เจ้ารู้ไหมไวร์มาร์ค ตลอดเวลาที่พี่ครองราชย์มา พี่ไม่เคยเจอเรื่องที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ”  ไฟร์พูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ และรู้สึกเพลียจากการไม่ได้นอน
                   “ ท่านพี่ หม่อมฉันรู้สึกว่าท่านพี่คงจะเพลียมาก ข้าว่าพี่ท่าน... ” ไวร์มาร์คกำลังจะพูดต่อแต่ไฟร์ยกมือขึ้นตัดบทเสียก่อน แล้วพูดขึ้นว่า
                   “ พี่น่ะไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่ว่า เจ้าน่ะแหละ ข้าอยากจะฝากอะไรไว้กับเจ้า ”
                   “ พี่ท่านมิจำเป็นต้องฝากอะไรกับหม่อมฉันหรอกพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันเชื่อว่าพี่ท่านมีเวลาพอที่จะบริหารความเป็นส่วนตัว ” ไวร์มาร์คกล่าว
                   “ ฮ่าฮ่าฮ่า  เจ้าสมเป็นไวร์มาร์ค ข้าไม่สามารถที่จะตบตาเจ้าได้เลยนะ ฮ่าฮ่าฮ่า ” ไฟร์หัวเราะเสียดังลั่นท้องพระโรง  ไวร์มาร์คต้องตกใจเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่ไฟร์พูด
                   “ อะไรพี่ท่าน”  ไวร์มาร์คถาม   ไฟร์จึงตอบไปว่า
                   “ ข้าอยากลองดูว่าเจ้าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ข้าอยากจะทดสอบ ว่าเจ้าจะมั่นใจตัวข้ามากเพียงใด ถ้าเจ้าไม่มั่นใจ ข้าก็ไม่อาจใช้งานนี้กับเจ้าได้ ”
                                “ งาน  งานอะไรหรือ พี่ท่าน ”  ไวร์มาร์คทำเสียงสงสัย “ ฮ่า เอียงหูเจ้ามาสิ ”  ไฟร์พูด ไวร์มาร์คได้ฟังแล้วถึงกับตาโต
                   “ อะไรนะ พี่ท่าน พี่ท่านแน่ใจ”  ไวร์มาร์คกล่าว ไฟร์จึงตอบไปว่า
                   “ ข้าแน่ใจ ไวร์มาร์ค รอจนท่านปู่โอเบลิสกลับฟื้นคืนชีพ เจ้าก็จัดการได้เลย ฮ่าฮ่าฮ่า ” พุดจบ ไฟร์ก็เอามือเท้าคาง แล้วนั่งหลับตา ไวร์มาร์คเห็นจึงคำนับแล้วขอลา “ หม่อมฉันขอลานะพ่ะย่ะค่ะ ”  ไฟร์พยักหน้าทั้งหลับตา ไวร์มาร์คเดินออกไปจากท้องพระโรง ออกมาเรียกเสนาบดีนามว่า  เซลิส ซึ่งเป็นเสนอาวุโส ๑ ใน ๙ ของอาวุโสที่ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ยุคโอเบลิส
                   “ ท่านเซลิส ท่านอย่าเพิ่งไปรบกวนท่านพี่นะ ”  ไวร์มาร์คกล่าว เซลิสตอบคำนับแล้วเดินเข้าท้องพระโรง ไวร์มาร์คเดินไปที่ห้องของตัวเขาเอง พอเปิดประตูออกไป ไวร์มาร์คก็เห็นความเปลี่ยนแปลงของห้องตัวเอง เตียงนอนที่ปูด้วยขนหมีกลายเป็นขนแกะ  เตียงไม้พยุงสีน้ำตาลกลายเป็นเตียงไม้สักทอง ทุกอย่างในห้องของเขาต่างเปลี่ยนแปลงไปหมด ไวร์มาร์คหันมาเรียกทหารที่ตรวจเวรอยู่แถวนั้น “ นี่ ใครมาจัดการห้องข้าเนี่ย พลทหาร ”
“ เป็นองค์หญิงฮาโมนิก้า พระพุทธเจ้าค่ะ ”
พลทหารเวรกล่าว ไวร์มาร์คขมวดคิ้วงุนงงแล้วถามต่อไปว่า
“ งั้นตอนนี้พี่ฮาโมอยู่ไหนล่ะ”
“อยู่ ณ ห้องพระบรรทมพ่ะย่ะค่ะ ”  พลทหารตอบ
“ อืม  งั้นเจ้าไปตรวจตราได้แล้ว ออ แล้วช่วงนี้ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าห้องข้าเด็ดขาด มีใครต้องการข้าต้องมาเปิดเองเท่านั้น หวังว่าคงเข้าใจ ไปได้แล้ว ”
          ไวร์มาร์คกล่าว พลทหารรับคำแล้วคำนับ เดินถอยหลังไป ไวร์มาร์คเดินมาที่ห้องของฮาโมนิก้า แล้วก็เคาะประตูเรียก “ พี่ฮาโม พี่ฮาโม ได้ยินน้องไหม ”
                   “ มีอะไรล่ะ เจ้าน้องตัวแสบ ฮ้าว ”  เสียงฮาโมนิก้าเหมือนเพิ่งตื่น
                   “ พี่ท่านมาเปลี่ยนเครื่องตกแต่งห้องน้องทำไมกันหรือ ” ไวร์มาร์คถาม ฮาโมนิก้าพูดตอบว่า
                   “ อ๋อ ข้าน่ะ อยากให้เจ้าได้เปลี่ยนแปลงตัวเองบ้าง อะไรกันมีคนรักแล้ว จะทำตัวเป็นเจ้าชายธรรมดาๆต่อไปไม่ได้นะ มันต้องปรับปรุง เริ่มจากห้องเจ้าก่อน แล้วต่อไป ข้าจะให้เจ้าได้เรียนรู้ว่าผู้หญิงน่ะเป็นอย่างไร เข้าใจไหม ข้าจะนอน ไปไหนก็ไป ไป๊ “ 
                   “ เอ๋า  เป็นงั้นไป เฮ้อ มาสอนเราปาวๆ ตัวเองยังไม่มีเลย อ่า จะเชื่อได้ไหมนี่ เฮ้อ อย่าอะไรเลย ไปพักสักหน่อยดีกว่า ฮ้าว ”   ไวร์มาร์คพูดกับตัวเอง แล้วเดินกับมาพักที่ห้อง
         
ด้านกรุงมหาเทวะ อควอโลได้เดินทัพกลับมาถึงเมื่อเกือบสามยามเมื่อคืน พอรุ่งสาง เขาก็เรียกเปิดสภาชั้นสูงอเทวพิชิต เพื่อปรึกษาการทำศึก  โดยมีอควอมาโดส ผู้เป็นบิดาและจอมอาวุโสแห่งสภา อันได้แก่  มารนพสูร มารนพรัตน์ มารนพเคราะห์  มารนพพิษ มารนพภูมิ ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่คู่สภามาแต่ครั้งอควอโลมาโดส อควอโลกล่าวเปิดขึ้นว่า
                   “ ข้ามาขอความเห็นจากพวกท่าน ว่าสิ่งที่ข้าจะนำมาใช้ในการศึกครั้งนี้ คือการต่อสู้โดยมีศักดิ์ศรีของเหล่ามารเป็นเดิมพัน ” ว่าแล้ว อควอโลก็หยิบดวงแก้วขึ้นมา เป็นแก้วมณีสีแดงโลหิต มีรอยเขี้ยวสามแห่งปรากฏอยู่ เหล่าอาวุโสรวมทั้งอควอมาโดสต่างผงะ เพราะนี่คือสัญลักษณ์แห่งมารทมิฬ อควอโลมาโดส
                   “ สรีระอธรรมลัญจกร ”  มารนพสูรพูดขึ้น  “ ท่านไปเอามันมาจากไหน ”
                   “ท่านไม่จำเป็นต้องรู้ ” อควอโลตอบ มารนพสูรก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เค้นคำพูดว่า
                                “ ท่านไปนำมันมาจากไหน ”
                   “ ข้าบังเอิญได้ข่าวถึงสุสานโบราณแห่งกรุงมหาเทวะ ข้าเลยจัดการให้เหล่าทหารขุดมันขึ้นมา แล้วยังพบอีกสามสิ่งที่มันทำให้ข้าแปลกใจมาก ”  อควอโลกล่าว อควอมาโดสจึงถามขึ้นว่า
                   “ อะไร คือสิ่งที่เจ้าว่า ”
                   “ เนาวรัตน์วัจณีย์ศรีโอภาส  อากาศรัตนเจดีย์     มหานทีปรีดิ์เปรม ”
          อควอโลพูด ทั้งหมดในสภาต่างมองหน้ากันเลิกลัก เพราะสามสิ่งที่ว่ามานี้เป็นของวิเศษที่ใช้ในการปลุกชีพ
อควอโลมาโดสทั้งสิ้น มารนพสูรกล่าวไปว่า
                   “ เป็นอันว่าท่านได้สิ่งของมาครบแล้ว แล้วอย่างไร ที่ท่านว่าจะเอาศักดิ์ศรีของมารเป็นประกัน ”
                   “ ออ ข้าจะนำทัพทั้งหมดที่เรามี บุกกองกำลังของมนุษย์พวกนั้นโดยเร็วที่สุด โดยมิต้องรอท่านอควอโลมาโดสคืนชีพ โดยข้าจะนำทัพบุกในอีก ๙ วัน เพื่อประกาศแสนยานุภาพ หากแพ้ เราจะเลิกรา  หากชนะ เราจะปลุกชีพท่านอควอโลมาโดสต่อไป พวกท่านว่าอย่างไร ”
          อควอโลกล่าว อควอมาโดสมองหน้าพวกอาวุโสสภา อาวุโสสภาพยักหน้าเป็นอันยอมรับ อควอมาโดสจึงพูดขึ้นว่า

                   “ ดี งั้นเจ้าเตรียมกองทัพเอาไว้ให้ดี พรุ่งนี้ เราจะเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งหมดของกรุงมหาเทวะเพื่อวางแผนสู้รบกันในลำดับต่อไป ”  อควอโลยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ ข้าจะไม่ทำให้พวกท่านผิดหวัง รับราชโองการ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป กรุงมหาเทวะจะประกาศสงครามกับพวกมนุษย์นั้นชั่วกาลปาวสาน ”